โรคสมาธิสั้น มีอาการแบบไหน และมีสาเหตุมาจากอะไร

โรคสมาธิสั้น ในวัยเด็ก (ADHD) เกิดจากความผิดปกติในการของสมองบางส่วน ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากระดับสารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสมาธิไม่สมดุล ทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ดี ทำให้เด็กซน อยู่ไม่นิ่ง ส่งผลกระทบทั้งในด้านพฤติกรรม อารมณ์ การเรียนรู้ การใช้ชีวิตประจำวัน และการเข้าสังคมกับผู้อื่น

โรคสมาธิสั้น มีอาการแบบไหน

ปัญหาที่สำคัญต่อการเรียนรู้ และการใช้ชีวิตประจำวัน หากมีการจัดการด้วยแนวทางหรือวิธีการที่ถูกต้อง จะช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพและเหมาะสมตามวัย จากผลการศึกษา ส่วนใหญ่พบว่ามีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยเด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นโรคซนสมาธิสั้นมีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้มากกว่าเด็กคนอื่นๆ ถึง 4 เท่า

นอกจากนี้แล้ว ยังพบว่า การที่พ่อแม่ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดสารเสพติด หรือป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ ก็เชื่อว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคซนสมาธิสั้นได้เช่นกัน สำหรับเด็กๆ ที่มีอาการของโรคสมาธิสั้น จะมีความผิดปกติของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับอายุและระดับพัฒนาการ โดยมักมีอาการแสดงก่อนช่วงอายุ 7 ปี และมีอาการแสดงอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 6 เดือน โดยแบ่งอาการออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้

อาการของเด็กสมาธิสั้น

  1. อาการขาดสมาธิ (attention deficit) เด็กมักขาดสมาธิในงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำ ซึ่งจะสังเกตได้ชัดในงานที่ต้องใช้สมาธิมาก เช่น การเรียนหนังสือ หรือการทำการบ้าน โดยอาจแสดงออกมาทางการเหม่อลอย จนในที่สุดไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จได้ นอกจากนี้อาการที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือชอบทำของหายบ่อย โดยเฉพาะอุปกรณ์การเรียน เด็กอาจขี้ลืมบ่อย อาจเป็นการลืมทำการบ้านที่ครูสั่ง หรือลืมหยิบสมุดการบ้านกลับมาก
  2. อาการซน (impulsivity) สังเกตได้จากการซนมากกว่าเด็กในวัยเดียวกันคนอื่นๆ อยู่นิ่งไม่ได้ หยุกหยิก ขยับตัวไปมา ชอบเดินรอบห้องหรือชวนเพื่อนคุยขณะครูสอน พูดมาก อาการดังกล่าวมักได้รับการรายงานจากครูประจำชั้น เด็กเหล่านี้มักชอบกิจกรรมที่ต้องออกแรง หรือโลดโผน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
  3. อาการหุนหันพลันแล่น (hyperactivity) เด็กมักรอคอยอะไรไม่ได้ เช่นการต่อแถวซื้ออาหาร ชอบพูดโพล่งในสิ่งที่ตัวเองคิดทันที เช่นการตอบคำถามทันทีทั้งที่ยังฟังไม่จบ ชอบพูดแทรกระหว่างบทสนธนาของคนอื่น อาจสังเกตได้จากการพูดแทรกขณะครูกำลังสอน เวลาเจอของที่สนใจหรือต้องการจะวิ่งตรงเข้าไปหาทันทีโดยไม่ขออนุญาต เช่นเห็นของเล่นที่ชอบในห้าง

อาการทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดจากความขี้เกียจ ความไม่ใส่ใจ หรือไม่เชื่อฟัง แต่เป็นไปตามการทำงานของสมองและสารสื่อประสาทที่ผิดปกติตามที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น

โรคสมาธิสั้น ประกอบด้วยกลุ่มอาการหลัก 3 ด้าน ได้แก่

  1. พฤติกรรมขาดสมาธิวอกแวกง่าย เหม่อลอย จดจ่ออะไรนานๆ ไม่ได้ ขี้ลืม เบื่อง่าย ไม่ค่อยรอบคอบ ทำงานไม่เสร็จตามเวลา ไม่ชอบทำงานที่ต้องอาศัยสมาธิ หรือความพยายาม
  2. พฤติกรรมซุกซนไม่อยู่นิ่งเคลื่อนไหวตลอดเวลา ยุกยิก ต้องหาอะไรทำ เหมือนเด็กที่ติดเครื่องตลอดเวลา พูดมาก พูดเก่ง ชอบเล่นหรือทำเสียงดังๆ เล่นกับเพื่อนแรงๆ เด็กกลุ่มนี้จะรู้จักกันในชื่อว่า “เด็กไฮเปอร์”
  3. พฤติกรรมขาดความยับยั้งชั่งใจตนเองใจร้อน วู่วาม หุนหันพลันแล่น ขาดความระมัดระวังในการทำสิ่งต่างๆ พูดโพล่ง พูดแทรก รอคอยอะไรไม่ค่อยได้

เด็กบางคนอาจมีอาการเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือมีทั้ง 3 กลุ่มอาการร่วมกันก็ได้

โรคสมาธิสั้นเทียม เกิดขึ้นได้กับเด็กติดหน้าจอ

โรคสมาธิสั้นนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น โรคสมาธิสั้นและสมาธิสั้นเทียม ซึ่งจะมีความแตกต่างกันอยู่ มาทำความเข้าใจกับอาการสมาธิสั้นเทียมที่เกิดจากการใช้มือถือมากเกินไป โดยปกติแล้วเด็กจะสามารถดูหน้าจอต่างๆ ได้ในช่วงอายุเกิน 2 ปีไปแล้วแต่ปัจจุบันนั้นการห้ามใช้จอทำได้ยากมากๆ ในโลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีซึ่งหากลูกติดหน้าจอหรือใช้เวลาอยู่กับโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ผลกระทบแรกที่คุณพ่อคุณแม่เป็นกังวลก็คือสุขภาพร่างกายของลูก

เพราะการติดจอนั้น ส่งผลให้เป็นทั้งโรคอ้วน จากการนั่งนอนไม่ขยับไปไหน, ทานอาหารที่ไม่หลากหลาย, ใช้สายตามากเกินไปจนอาจต้องตัดแว่น และอีกหนึ่งโรคที่น่ากลัวไม่แพ้ใครคือโรคสมาธิสั้น ยิ่งเห็นภาพที่ขยับอย่างรวดเร็วหรือการตัดที่ไวมากแค่ไหนก็ยิ่งทำให้สมาธิของลูกนั้นวอกแวกได้ง่ายซึ่งปัจจุบันเด็กที่มีอาการของสมาธิสั้นมีมากถึงร้อยละ 5-10

สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาโรคสมาธิสั้นเทียม หรือไฮเปอร์เทียม

อาการสมาธิสั้นประกอบไปด้วย hyperactive (ความซนไม่หยุดนิ่ง), inattention (ไม่มีสมาธิในการจดจ่อ),impulsivity ( ขาดการไตร่ตรองและรอบคอบ) แต่กับอาการสมาธิสั้นเทียมหรือไฮเปอร์เทียมนั้นมีอาการที่คล้ายกับสมาธิสั้นธรรมดามาก การแยกว่าเป็นจริงหรือเทียมสังเกตได้จากกรรมพันธุ์ของพ่อแม่ที่ส่งมาถึงลูก หากในบ้านมีใครที่มีประวัติเป็นสมาธิสั้น บุตรหลานของเราก็คงจะได้รับถ่ายทอดมาไม่มากก็น้อย

แต่หากไม่มีใครในครอบครัวมีประวัติว่าเป็นสมาธิสั้นหรืออาการไฮเปอร์แต่เจ้าตัวเล็กมีทั้งอาการวอกแวก, อยู่ไม่สุขเกินพอดี, ใจร้อน, อะไรไม่ได้ดั่งใจก็จะเริ่มอารมณ์เสีย ก็มีแนวโน้มสูงว่าลูกๆ ของเราเป็นโรคสมาธิสั้นเทียมเข้าแล้ว

สาเหตุที่ทำให้เด็กเป็นสมาธิสั้นเทียม

พอขึ้นชื่อว่าเทียมแล้วแน่นอนว่าจุดเริ่มต้นของอาการไม่ได้เกิดมาจากกรรมพันธุ์หรือภาวะแทรกซ้อนของสมองใดๆ ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดแต่เป็นเรื่องของระบบการใช้ชีวิตที่ทำให้เด็กส่วนมากเข้าข่ายหรือเป็นโรคสมาธิสั้นเทียม และพฤติกรรมที่ทำให้เจ้าตัวเล็กของบ้านเป็นสมาธิสั้นเทียม ก็คือ

  • อยู่กับหน้าจอต่อวันเป็นเวลานานเกินเหมาะสม
  • คุ้นชินกับความรวดเร็วของอินเตอร์เน็ตจนทำให้รอไม่เป็น
  • ได้รับสารทางเดียวตลอดในการเรียนรู้

อาการของเด็กที่เป็นสมาธิสั้นเทียม

เมื่อเรารู้ถึงสาเหตุแล้วว่าเหตุใดจึงทำให้เด็กๆ ในบ้านเป็นโรคสมาธิสั้นเทียมแล้ว มาดูอาการหรือผลกระทบจากจากเป็นสมาธิสั้นส่งผลอย่างไรบ้าง

  • อารมณ์ร้อน, ฉุนเฉียวง่าย
  • รอไม่เป็น, กระวนกระวาย วอกแวกง่าย
  • เอาแต่ใจตนเอง ไม่ได้ดั่งใจจะโวยวาย งอแงทันที
  • ไม่มีสมาธิในการเรียน

วิธีรักษาหรือดูแลเด็กสมาธิสั้นเทียม

สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำคือ เข้าใจความสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูก แน่นอนว่าเมื่อเห็นเขาไม่ตั้งใจเรียนหรือติดจอมากเกินไปจนเป็นสาเหตุให้มีอาการดังกล่าว ก็อาจจะรู้สึกฉุนเฉียว, ไม่พอใจ แต่เราต้องทำใจให้เย็นขึ้นเพื่อมามองปัญหา และแนวทางแก้ไขที่ถูกต้องไปพร้อมๆ ซึ่งการแก้ครั้งนี้เองก็ต้องอาศัยความร่วมมือของอาจารย์ที่ดูแลลูกของเราที่โรงเรียนด้วย จะมีการแก้ไขอย่างไรบ้างไปดูกัน

  • ให้คุณครูจัดที่นั่งด้านหน้าไม่ติดหน้าต่างหรือประตู เพราะอาจทำให้หันเหไปสนใจอย่างอื่นได้ง่าย
  • เวลาเขาทำสิ่งใดสำเร็จหรือใช้สมาธิอย่างเต็มที่ต้องชมเชยให้เขารู้สึกได้รับกำลังใจ จะทำให้เขาตั้งใจทำทุกครั้ง
  • ทำข้อตกลงแบ่งเวลาการใช้จออย่างชัดเจนในแต่ละวันเพื่อควบคุมการใช้ อาทิจำกัดเวลาดูโทรทัศน์, การใช้ไอแพด, โทรศัพท์มือถือ
  • ฝึกวินัยการรอคอยเช่น การรอได้ของเล่น, การรอได้ทานอาหารที่ชอบ
  • หากิจกรรมที่ทำให้ได้ฝึกสมาธิมาเล่นกับลูก เช่น การวาดภาพ, ปลูกต้นไม้, อ่านหนังสือ, ปั้นดินน้ำมัน

และสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดูแลคือใช้เวลากับเด็กๆ ของเราให้มากขึ้น อย่าให้โทรศัพท์มือถือเป็นพี่เลี้ยงแทนเพราะถ้าคุณพ่อคุณแม่ได้ใช้เวลาพูดคุยและเรียนรู้เจ้าตัวน้อยมากๆ ก็จะทำให้เขาไม่ติดจอ อยากใช้เวลาอยู่กับเรา นอกจากจะได้แก้ปัญหาอาการสมาธิสั้นเทียมแล้ว ยังช่วยให้ความสัมพันธ์ของตนในบ้านดีขึ้นอีกด้วย

โรคสมาธิสั้น

โรคสมาธิสั้น รักษาให้หายขาดได้หรือไม่ และควรมีวิธีการดูแลอย่างไร

โรคสมาธิสั้นเป็นโรคประจำตัว ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม สมอง และสารสื่อประสาท โดยทั่วไปอาการดังกล่าวจะดีขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงดูที่ถูกต้องร่วมกับการรักษาที่เหมาะสมสามารถทำให้ความรุนแรงของโรคลดลงได้ จนสามารถใช้ชีวิตประจำวัน ทำงาน และอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม เมื่อสงสัยว่าลูกมีอาการเข้าข่ายสมาธิสั้น ควรพาเข้ารับการปรึกษาจากจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม

วิธีการดูแลรักษาโรคสมาธิสั้นต้องอาศัยบุคคลหลายฝ่ายร่วมมือกัน ได้แก่ แพทย์และสหวิชาชีพบุคลากรทางการแพทย์ในสาขาอื่น พ่อแม่และสมาชิกในครอบครัว รวมถึงครูที่โรงเรียน

การรักษาโรคสมาธิสั้น

สำหรับการช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้นนั้น จะประกอบด้วยการปรับพฤติกรรม ร่วมกับการใช้ยาในบางราย โดยในเด็กที่มีอาการไม่มาก อาการไม่ได้รบกวนการเรียนหรือการใช้ชีวิตประจำวันมาก หรือเด็กที่เป็นสมาธิสั้นเทียม ก็จะใช้การปรับพฤติกรรมในเบื้องต้น ส่วนเด็กสมาธิสั้นที่มีอาการค่อนข้างมากทำให้รบกวนการเรียน การใช้ชีวิตประจำวัน การเข้าสังคม ก็จำเป็นต้องมีการใช้ยาควบคู่ไปด้วย

  1. การปรับพฤติกรรม

พ่อแม่ต้องมีความตั้งใจที่จะร่วมมือกันปรับพฤติกรรมเด็ก ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น โดยหลักการปรับพฤติกรรมในเบื้องต้นเพื่อช่วยให้เด็กสมาธิสั้นมีอาการดีขึ้น หรือช่วยให้เด็กสมาธิสั้นเทียมหายจากการมีอาการคล้ายสมาธิสั้น มีดังนี้

  • ใช้การสื่อสารที่สั้น กระชับ ตรงไปตรงมาเวลาที่ต้องการพูดหรือออกคำสั่ง ควรให้เด็กหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ มองหน้าสบตาพ่อแม่ และให้ทวนสิ่งที่พ่อแม่พูดหรือสั่ง เพื่อเช็กว่าเด็กรับฟังได้ครบและเข้าใจถูกต้อง
  • ทำตารางเวลาที่ชัดเจนให้กับเด็กว่าเวลาไหนต้องทำอะไรบ้าง และติดไว้ในที่ที่เด็กเห็นได้ชัด เพื่อให้เด็กดูได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องให้พ่อแม่คอยเตือนซ้ำในทุกๆ วัน เป็นการฝึกให้เห็นความสำคัญของเวลาและรู้จักวางแผนแบ่งเวลา โดยผู้ปกครองจะต้องคอยกำกับดูแลในช่วงแรกจนเด็กคุ้นเคยและปฏิบัติจนเป็นนิสัย
  • ปรับบรรยากาศการทำการบ้านของเด็กให้สงบไม่มีเสียงโทรทัศน์ ไม่มีอุปกรณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียน พ่อแม่ควรนั่งประกบเด็กเวลาทำการบ้านเพื่อคอยกระตุ้นไม่ให้เด็กเหม่อหรือว่อกแว่ก
  • ในเด็กที่พลังงานเยอะ ควรหากิจกรรมให้เด็กได้ทำในแต่ละวันเช่น เล่นกีฬา เพื่อให้มีการใช้พลังงานในทางที่สร้างสรรค์และเหมาะสม
  • จำกัดการดู ไอแพด แท็บเล็ต หรือโทรทัศน์วันละไม่เกิน 1 ชั่วโมง มีเวลาให้เล่นที่ชัดเจน ไม่ควรให้เมื่อไหร่ก็ได้ที่อยากจะเล่น และพ่อแม่ควรอยู่กับเด็กในขณะที่เด็กเล่นเพื่อดูความเหมาะสมของสิ่งที่เด็กเล่นหรือดู
  • ชื่นชมในสิ่งที่เด็กทำได้ดีอาจมีการใช้ตารางสะสมดาวเพื่อกระตุ้นให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดี หากต้องมีการลงโทษ ควรใช้การจำกัดสิทธิ เช่น ลดค่าขนม ลดเวลาในการเล่นเกม
  • พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กในเรื่องของความมีระเบียบวินัยการรู้จักอดทนรอคอย รวมถึงการใช้ไอแพด แท็บเล็ต หรือโทรทัศน์ ด้วย
  1. การรักษาด้วยยายาที่สามารถใช้ในการรักษาสมาธิสั้นมีหลายกลุ่ม ได้แก่
  • ยาในกลุ่มออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทเป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรคสมาธิสั้น และให้ผลในการรักษาดีที่สุดในคนส่วนใหญ่ ยากลุ่มนี้มี 2 รูปแบบ คือ แบบออกฤทธิ์สั้น ครั้งละประมาณ 4 ชั่วโมง โดยในแต่ละวันจะต้องมีการกินยาประมาณ 2-3 ครั้ง และแบบออกฤทธิ์ยาว ครั้งละประมาณ 10-12 ชั่วโมง ซึ่งจะกินเพียงครั้งเดียวในตอนเช้า ยาจะสามารถคุมอาการได้ตลอดวัน ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของยากลุ่มนี้คือ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ
  • ยาในกลุ่มไม่ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทใช้รักษาโรคสมาธิสั้นในกรณีที่เด็กไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยา ในกลุ่มออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทได้
  • ยากลุ่ม Alpha 2 agonist ใช้ในเด็กสมาธิสั้นที่มีโอกาสเกิดโรคกล้ามเนื้อกระตุกร่วมด้วย หรือในเด็กที่มีอาการซน หุนหันพลันแล่น หงุดหงิดง่าย หรือมีอารมณ์โกรธรุนแรง รวมถึงเด็กที่มีปัญหาการนอน

ยาต้านเศร้า ใช้ในเด็กสมาธิสั้นที่อาจมีปัญหาอื่นร่วมด้วย เช่น ซึมเศร้า กระวนกระวาย อารมณ์แปรปรวน

ยาทุกชนิดควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้พิจารณาในการสั่งใช้ และติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เด็กแต่ละรายอาจมีอาการและการตอบสนองต่อยาที่แตกต่างกัน หากผู้ปกครองมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

วิธีช่วยเด็กสมาธิสั้น สำหรับพ่อแม่

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ช่วยให้เด็กสมาธิสั้นมีอาการดีขึ้นได้คือพ่อแม่ โดยพ่อแม่ต้องเข้าใจที่มาที่ไปของอาการเด็กก่อนว่าเกิดจากการทำงานของสมองบางส่วนที่เสียสมดุลไป ทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมตนเองได้เท่าที่ควร ไม่ได้เกิดจากการแกล้งหรือขี้เกียจทำ รวมถึงพ่อแม่ต้องมีความตั้งใจที่จะร่วมมือกันในการช่วยเหลือเด็ก ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น

พ่อแม่ต้องมีความอดทน ให้เวลา ให้ความรัก ความอบอุ่น โดยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในครอบครัว มีทัศนคติและให้แรงเสริมในเชิงบวกอยู่เสมอ มองเห็นคุณค่าในสิ่งเล็กๆ ที่เด็กทำ จะช่วยทำให้เด็กสามารถปรับพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม

การเรียนรู้และเข้าใจเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นจะทำให้เกิดความรักที่มีคุณภาพ เพราะความรักที่เกิดขึ้นจากการยอมรับและเข้าใจในข้อจำกัดซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้ความสัมพันธ์และบรรยากาศในครอบครัวดีขึ้น ส่งผลให้การช่วยเหลือแก้ไขปัญหาและพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กทำได้ดีขึ้น และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคต

วิธีช่วยเด็กสมาธิสั้น สำหรับคุณครู

คุณครูมีส่วนสำคัญในการดูแลสามารถช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้นไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่ การที่คุณครูมีประสบการณ์ในการเจอเด็กที่หลากหลาย จะสังเกตเห็นได้ชัดว่าเด็กคนไหนที่มีความแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ เช่น เด็กคนนี้อาจดูซนกว่าเพื่อน ทำงานไม่ค่อยเรียบร้อย ลืมส่งงาน ค้างงานเป็นประจำ ถ้าคุณครูสงสัยว่าเด็กคนไหนเข้าข่ายสมาธิสั้น อาจหาโอกาสพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ในสิ่งที่ครูเป็นห่วง และแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ จะช่วยให้เด็กได้เข้าสู่กระบวนการรักษาที่เร็วขึ้น นอกจากนี้คุณครูเองก็จะเหนื่อยน้อยลงและสามารถดูแลจัดการเด็กได้มากขึ้นด้วย

สำหรับแนวทางการจัดการในห้องเรียนที่สามารถนำมาใช้ในการดูแลเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นนั้น มีคำแนะนำดังต่อไปนี้

  1. จัดให้เด็กได้นั่งแถวหน้าสุดช่วงตรงกลาง ใกล้กับกระดานและตำแหน่งของคุณครู
  2. กระตุ้นให้เด็กตอบคำถามเป็นระยะๆหรือมอบหมายงานที่ใช้การลุกจากที่ให้เป็นประโยชน์ เช่น เดินแจกเอกสารให้เพื่อนๆ หรือเก็บสมุดจากเพื่อนๆ เป็นต้น
  3. ก่อนเริ่มสอนให้สังเกตว่าเด็กอยู่ในภาวะพร้อมคือ มีสมาธิที่จะฟังครูพูดหรือไม่
  4. ใช้คำพูดหรือการออกคำสั่งที่สั้น กระชับ ได้ใจความชัดเจน
  5. หากเด็กกำลังเหม่อ วอกแวกควรเรียกและแตะตัวอย่างนุ่มนวล เพื่อให้เด็กรู้สึกตัวและหันมาสนใจก่อนที่จะสื่อสารกับเด็ก
  6. คุณครูควรเข้าไปหาเด็ก และใช้การกระทำประกอบไปด้วยเพราะการบอกหรืออธิบายเพียงอย่างเดียว เด็กอาจไม่ฟังหรือไม่ทำตาม
  7. ให้คำชมมากกว่าการตำหนิหลีกเลี่ยงการใช้วาจาตำหนิ ประจาน ประณาม หรือทำโทษด้วยความรุนแรง ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความอับอาย
  8. การสอนด้านวิชาการ ควรใช้คำอธิบายสั้นๆประกอบการสาธิตตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมจะช่วยให้เด็กเข้าใจง่ายขึ้น
  9. แบ่งงานออกเป็นขั้นตอนย่อยๆให้เด็กสามารถทำเสร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น เด็กจะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจที่ตนเองทำอะไรได้สำเร็จ มีกำลังใจในการทำงานต่อ และยังช่วยฝึกให้เด็กรู้จักการวางแผนล่วงหน้าด้วย
  10. ใช้กิจกรรมที่เด็กชอบและสนใจเช่น ศิลปะและดนตรี ในการช่วยส่งเสริมเรื่องของสมาธิ
  11. ให้เด็กมีโอกาสได้ออกกำลังกายซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เด็กได้ปลดปล่อยพลังงานของตนเองที่มีอยู่ ทำให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายและใช้สมาธิได้ดีขึ้น

หากเด็กยังคงมีช่วงสมาธิสั้นมากถึงแม้จะใช้วิธีการในเบื้องต้นนี้แล้ว คุณครูควรแจ้งผู้ปกครองของเด็กเพื่อช่วยกันสังเกตและอาจพาเด็กเข้ารับการประเมินเพิ่มเติมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไป

วิธีช่วยเด็กสมาธิสั้น สำหรับเพื่อน

เพื่อนมีส่วนสำคัญไม่น้อยในการช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้น เพราะเด็กทุกคนอยากได้รับการยอมรับและการช่วยเหลือจากเพื่อน วิธีการที่จะสามารถช่วยเพื่อนที่เป็นสมาธิสั้นทำได้ดังต่อไปนี้

  1. เข้าใจเพื่อนที่เป็นสมาธิสั้นไม่ล้อเลียน ไม่ต่อว่า รวมถึงคอยเตือนเพื่อนเมื่อถึงเวลากินยา จะทำให้เด็กสมาธิสั้นมีความสุขและไม่เกิดความรู้สึกว่าตนเองมีความแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ
  2. ให้ความช่วยเหลือเรื่องงานหรือการบ้านเช่น ในกรณีที่เด็กสมาธิสั้นจดการบ้านหรือสิ่งที่ครูสอนไม่ทัน เพื่อนอาจให้ความช่วยเหลือโดยเอาของตัวเองมาให้ดู หรือคอยเตือนเพื่อนเรื่องการส่งงาน
  3. คอยเตือนหรือเรียกเมื่อเห็นว่าเพื่อนที่เป็นสมาธิสั้นเริ่มมีอาการวอกแวก เหม่อ หรือทำอย่างอื่นในขณะเรียน

จะเห็นได้ว่าหากทุกคนรอบตัวเด็กสมาธิสั้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครู หรือเพื่อน มีความเข้าใจ ยอมรับ และให้การช่วยเหลือดูแลที่เหมาะสม ก็จะทำให้เด็กสมาธิสั้นมีความสุขและไม่เกิดความรู้สึกว่าตนเองมีความแตกต่างจากเด็กคนอื่น เพราะในความเป็นจริงแล้วเด็กสมาธิสั้นก็คือเด็กปกติคนหนึ่งที่ควบคุมตนเองได้น้อยกว่าคนอื่นเท่านั้น เด็กสามารถเรียน ทำกิจกรรม และใช้ชีวิตได้เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน

โดยสรุป โรคสมาธิสั้นเป็นโรคที่ไม่หายขาดเนื่องจากมีปัจจัยทางด้านพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง การเลี้ยงดูที่ผิดวิธีไม่ได้ทำให้เป็นโรค แต่ทำให้อาการรุนแรงขึ้น แต่สามารถทำให้โรคดีขึ้นได้จากการร่วมมือของบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพ่อแม่ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ตัวเด็กที่สุด

ที่มา

https://www.manarom.com/blog/adhd_disorder.html

https://hd.co.th/attention-deficit-and-hyperactivity-disorder

https://www.parentsone.com/

https://www.pexels.com/th-th/photo/7743433/

https://www.pexels.com/th-th/photo/3905731/

 

ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับเด็กได้ที่  pleodinosaur.com